จากชุมชนทะเลทราย

สู่กลุ่มผู้ผลิตที่มีศักยภาพ

ประชากรของโลกกว่า 20% ในปัจจุบันดำรงชีวิตอยู่ในสภาพอากาศแห้งแล้งและกึ่งแห้งแล้งที่เพาะปลูกได้ยาก โดยพื้นที่เหล่านี้กำลังแพร่ขยายไปมากขึ้นด้วยปัญหาทางสิ่งแวดล้อม มีผู้คนมากมายในชุมชนทะเลทรายทางตะวันออกกลางที่กำลังประสบปัญหาในการหาเลี้ยงชีพและดูแลครอบครัว จากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากทั้งในแง่ของทรัพยากรที่ขาดแคลนและความวุ่นวายจากสงคราม

“⅓ ของประชากรโลกอาศัยอยู่บนพื้นที่แห้งแล้งเพาะปลูกยาก จึงขาดโอกาสในการหาเลี้ยงชีพ”

ด้วยความฝันที่ต้องการเห็นเกษตรกรรมเป็นพลังในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คน เราได้เริ่มสร้างฟาร์มเพาะปลูกพืชที่ทนต่อสภาพอากาศอันแห้งแล้งโดยเริ่มจากพืชอย่างโจโจบาและมะรุม เราเลือกเฉพาะเขตพื้นที่ที่ว่างเปล่าและห่างไกลความเจริญ เพื่อให้แน่ใจว่าฟาร์มของเราจะไม่แข่งขันหรือแย่งโอกาสจากธุรกิจอื่นๆ ในชุมชนที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว

+100 ครัวเรือนได้พัฒนาคุณภาพชีวิตจากโครงการของเรา

เราร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในพื้นที่เพื่อหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตและการผลิตในแต่ละขั้นตอน เราศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ และนำเอาเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่มาใช้ รวมถึงเริ่มสร้างโรงเรือนและติดตั้งเครื่องสกัดและบรรจุวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน ทำให้ฟาร์มของเราสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและเพิ่มอัตราการจ้างงาน ส่งผลให้เศรษฐกิจในชุมชนเกิดการพัฒนา เกษตรกรได้รับโอกาสที่จะร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับเราและยังได้เรียนรู้จากการฝึกอบรมต่างๆ รวมไปถึงผู้หญิงและเด็กๆ ที่สามารถเข้าร่วมเวิร์คช็อปด้านการเกษตรที่มีประโยชน์และมีความน่าสนใจ อีกทั้งยังช่วยให้พวกเขาได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง

ที่ YURI & TERRA เราได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้คนในชุมชนที่ขาดโอกาสให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสรรสร้างผลิตภัณฑ์อันน่าภาคภูมิใจ ซึ่งนอกจากคุณจะได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์คุณภาพ เรายังนำส่วนหนึ่งของกำไรจากการขายคืนกลับสู่ชุมชน ซึ่งไม่ใช่ในรูปของการบริจาค แต่คือการค้นคว้าและสนับสนุนโครงการริเริ่มใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของผู้คนและโลกใบนี้

เปลี่ยนผืนดินแห้งแล้ง

ให้เป็นฟาร์มเขียวขจีที่ยั่งยืน

การขยายตัวของพื้นที่แห้งแล้งและการกลายสภาพเป็นทะเลทราย (desertification) เป็นเพียงหนึ่งประเด็นทางทรัพยากรที่โลกกำลังเผชิญ เพราะสิ่งที่เป็นพื้นฐานของชีวิตเราอย่างน้ำจืด โดยเฉพาะน้ำจืดที่เราเข้าถึงได้ กำลังลดปริมาณลงเหลือเพียง 0.5% จากปริมาณน้ำทั้งหมดบนโลก โดยมีผลพวงมาจากการเพิ่มจำนวนของประชากรและการบริโภคในยุคปัจจุบัน

“70% ของปริมาณน้ำจืดบนโลกถูกใช้ไปกับภาคเกษตรกรรมและอาหาร”

เรารู้ถึงปัญหาของน้ำและเข้าใจว่าทุกผลิตภัณฑ์ล้วนมีต้นทุนทางทรัพยากร การเริ่มเปลี่ยนพื้นที่หลายแสนตารางเมตรให้เป็นฟาร์มที่อุดมสมบูรณ์จึงต้องอาศัยวิธีการดูแลที่มีความยั่งยืนและสามารถรักษาความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติของผลผลิตไว้อย่างครบถ้วนควบคู่กันไป

“ต้นโจโจบาใช้น้ำในการเพาะปลูกน้อยกว่าต้นมะกอกถึง 3 เท่า”

เราค้นคว้าความเป็นไปได้ในการนำพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพอากาศอันแห้งแล้งมาเพาะปลูกบนทะเลทราย รวมไปถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่จะเกิดขึ้น พืชที่เราเลือกมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างดีโดยอาศัยน้ำในการเพาะปลูกน้อยมาก รวมถึงยังให้ผลผลิตที่สามารถเป็นปัจจัยในการพัฒนาเศรษฐกิจในชุมชน อย่างไรก็ตามฟาร์มของเราก็ยังต้องอาศัยระบบการชลประทานเพื่อให้ให้แน่ใจว่าพืชจะไม่ขาดแคลนน้ำยามที่ต้องการ เราจึงหาระบบชลประทานที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพที่สุดที่เรียกว่า ‘ระบบน้ำหยด’ (drip irrigation)

 

วิธีการของระบบน้ำหยดคือการวางท่อเดินน้ำหลักเป็นแถวตามแนวเพาะปลูกของต้นไม้แต่ละต้น โดยจะมีท่อหยดน้ำขนาดเล็กยื่นลงไปในดินเพื่อหยดน้ำลงไปช้าๆ ที่รากของต้นไม้โดยตรง วิธีนี้ทำให้น้ำไม่ระเหยไปกับสภาพอากาศหรือถูกนำไปใช้กับส่วนของต้นไม้หรือบริเวณที่ไม่มีความจำเป็น ระบบน้ำหยดของเราถูกควบคุมโดยทีมเกษตรกรและผู้ดูแลฟาร์ม ทำให้เราสามารถเลือกจ่ายน้ำตามการวิเคราะห์หรือหยุดจ่ายน้ำหากพืชได้รับปริมาณน้ำฝนตามธรรมชาติเพียงพอแล้ว

“การใช้ระบบน้ำหยดทำให้เราลดปริมาณน้ำที่ใช้เพาะปลูกต่อวันเหลือเพียง 1.5 ลิตร / ต้น”

นอกจากทรัพยากรดินและน้ำ เรายังหาช่องทางให้ผู้ผลิตสามารถนำเอาส่วนที่เหลือจากผลผลิตไปหมุนเวียนต่อให้เกิดประโยชน์ ผลผลิตของเราถูกพัฒนากลายเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มอบประสบการณ์อันรื่นรมย์ ปลอดภัย และเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ดีแบบองค์รวม เนื้อผลิตภัณฑ์ที่บริสุทธิ์ไร้การเจือปนจากสารเคมีและสารสังเคราะห์จะไม่มีวันเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและท้องทะเล รวมไปถึงวัสดุที่ใช้ในแพคเกจจิ้งก็ยังสามารถกลับไปสู่ระบบรีไซเคิลได้

พื้นที่แห้งแล้ง 450,000 ตรม.

กลายเป็นฟาร์มเพาะปลูกที่งดงามและยั่งยืน

นอกจากโครงการของเราจะให้ความใส่ใจกับการปกป้องทรัพยากรและการสื่อสารถึงคุณค่าของทรัพยากรให้กับคนรุ่นต่อไป สิ่งที่นิยามคำว่า ‘TERRA’ หรือ ‘โลก’ ในแบบของเรายังรวมไปถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดกับผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ของ YURI & TERRA เป็นตัวแทนของโลกใบใหม่ที่บริบทแห่งความงามและไลฟ์สไตล์มีความยั่งยืนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น เราสร้างมุมมองด้านบวกในการดูแลตัวเองที่เป็นอิสระจากกรอบเดิม เพื่อสังคมที่ทุกคนเคารพในตัวตนของตนเอง ผู้อื่นและโลกใบนี้